สกู๊ปพิเศษ มิสเตอร์เฮา วรายุภัสร์ (ชื่อเดิม วีรพงษ์) อัสดรธีรยุทธ์ ฉบับ B1305 ประจำวันที่ 05-11 ก.พ. 2561

เทรนด์ใหม่ “รถยนต์ไร้คนขับ” ในอนาคต

ระบบรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles – AV) นั้นไม่เพียงแต่จะเข้ามาปฏิวัติระบบการขนส่ง แต่ยังจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงาน และการใช้ชีวิตของประชากรทั่วโลก และมักจะมีคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ว่ามีความพร้อมต่ออนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ไร้คนขับหรือไม่?

ดัชนีบ่งชี้ระดับความพร้อมของการใช้รถยนต์ไร้คนขับของเคพีเอ็มจี ประจำปี 2018 หรือ KPMG Autonomous Vehicles Readiness Index 2018 (AVRI) ได้ประเมินการเตรียมความพร้อมของ 20 ประเทศทั่วโลก พร้อมเผยแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อผลักดันการใช้รถยนต์ไร้คนขับในประเทศต่างๆ

ประธานฯ ริชาร์ด” มร.ริชาร์ด เธรลฟอลล์ ประธาน ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล (KPMG) กล่าวว่าอิสระในการสัญจรด้วยรถยนต์ไร้คนขับจะส่งผลกระทบต่อสังคมในด้านการขนส่ง แต่ในขณะเดียวกันโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ก็มาพร้อมความท้าทายต่างๆ ที่แต่ละประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึง และจัดการเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการใช้รถยนต์ไร้คนขับ

ดัชนี AVRI นับเป็นการสำรวจศักยภาพ และความก้าวหน้าของการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับในประเทศต่างๆ ที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก ดัชนีดังกล่าวนี้ประเมินความสามารถของแต่ละประเทศทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านนโยบายและกฎหมาย ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการยอมรับของผู้บริโภค ซึ่งในแต่ละด้านมีความเชื่อมโยงกับขีดความสามารถของแต่ละประเทศในการนำรถยนต์ไร้คนขับมาใช้

ทั้งนี้ ในแต่ละด้านจะประกอบด้วยตัวแปรที่หลากหลายที่สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพร้อมในการรองรับรถยนต์ไร้คนขับ ตั้งแต่ ความพร้อมในการให้บริการของสถานีชาร์จรถไฟฟ้า การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ความสนใจในการใช้เทคโนโลยีของประชากรไปถึงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ

ส่วนประเทศที่มีความพร้อมรองรับการใช้รถยนต์ไร้คนขับมากที่สุด โดยจากการประเมินดัชนีบ่งชี้ระดับความพร้อมของการใช้รถยนต์ไร้คนขับของเคพีเอ็มจี ประจำปี 2018 นี้ พบว่า 10 ประเทศที่มีความพร้อมรองรับอนาคตของการขนส่งแบบอิสระมากที่สุด ได้แก่ 1. ประเทศเนเธอร์แลนด์ 2. ประเทศสิงคโปร์ 3. ประเทศสหรัฐอเมริกา 4. ประเทศสวีเดน 5. สหราชอาณาจักร6. ประเทศเยอรมนี 7. ประเทศแคนนาดา 8. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 9. ประเทศนิวซีแลนด์ และ 10. ประเทศเกาหลีใต้

ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นติด 1 ใน 4 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับสูงในการประเมินทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การยอมรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง จำนวนสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่มีอยู่มาก เครือข่ายโทรคมนาคมที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดการการสัญจรของรถยนต์ไร้คนขับ และการวางแผนขนาดใหญ่เพื่อทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าว

ขณะที่ประเทศอื่นๆ ใน 5 อันดับแรกนั้นมีความแข็งแกร่งที่หลากหลาย โดยประเทศสิงคโปร์มีความพร้อมสูงสุดในด้านนโยบายและกฎหมาย รวมทั้งการยอมรับของผู้บริโภค ถัดมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา และสวีเดนนั้นมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนสหราชอาณาจักรนั้นติด 1 ใน 5 อันดับแรกจาการประเมินใน 3 ด้านด้วยกัน

สำหรับความก้าวหน้าของรถยนต์ไร้คนขับนั้น ในภาพรวมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศจะมีความสัมพันธ์กับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไร้คนขับ แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่มักพบเห็นได้ในประเทศที่มีความพร้อมสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ได้แก่ การมีส่วนร่วมและสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ถนนที่ยอดเยี่ยม โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายแบบเคลื่อนที่ รวมถึงการลงทุนและการสร้างสรรค์นวัตกรรมของภาคเอกชน

ประธานฯ เธรลฟอลล์” ระบุว่าการวางแผนในวันนี้เพื่ออนาคตของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะไม่ใช่คำถามที่ว่า รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถเป็นรูปแบบการสัญจรที่เป็นที่นิยมมากที่สุดหรือไม่ แต่กลับเป็นคำถามที่ว่า จะเป็น “เมื่อไหร่” โดยการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนจะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันยังช่วยให้การใช้เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับสอดคล้องกับนโยบายรัฐอีกด้วย และสิ่งสำคัญ คือ การนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มาร่วมมือกันเพื่อวางแผนสำหรับรองรับเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งไม่ใช่แค่ในเรื่องการขนส่ง แต่เราต้องเตรียมความพร้อมสำหรับผลกระทบของรถยนต์ไร้คนขับต่อชีวิตของเราในทุกมิติเช่นกัน” “ประธานฯ KPMG” ริชาร์ด กล่าวในที่สุด